-คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์หมายถึง เครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง หรือโปรแกรมต่างๆสามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ
-ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ หมายถึง ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มี5 ส่วน คือ
1.) หน่วยรับข้อมูลเข้า (Input Unit)
ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าระบบ เช่น แป้นอักขระ แผ่นซีดี ไมโครโฟน
2.) หน่วยประมวลผลกลาง (Center Process Unit) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกยะและคณิตศาสตร์ รวมถึงการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ
3.) หน่วยความจำ ( Memmory Unit) ทำหน้าที่เก็บข้อมูล หรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมูล เพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลกลางและเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลกลาง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลแล้วเพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล
4.) หน่วยแสดงผล (Out Unit ) ทำหน้าที่แสดงผลจากคอมพิวเตอร์
5.) อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ (Peripheral Equipment ) เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธฺภาพให้ดีขึ้น
-ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
1.) มีความเร็วในการทำงานสูง
2.) มีประสิทภาพในการทำงานสูง
3.) มีความถูกต้องแม่นยำ ตามโปรแกรมสั่งงานและข้อมูลที่ใช้
4.) เก็บข้อมูลได้มาก
5.) สามารถโอนย้ายข้อมูล จากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งได้
-ระบบคอมพิวเตอร์
หมายถึงกรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใดๆกับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด เช่นระบบเสียภาษี ระบบทะเบียนราษฎร ระบบทะเบียนการค้า ระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาลเป็นต้น
*การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบจากการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง*
-องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
1.) ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
2.) ซอฟต์แวร์ (Software)
3.) ข้อมูล (Data)
4.) บุคลากร (Peple)
*ฮาร์ดแวร์ คือ ตัวเครื่องและอุปกรณ์ส่นต่างๆที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้
-ส่วนประมวลผล
-ส่วนความจำ
-อุปกรณ์รับเข้า-ส่งออก
-อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล
ส่วนที่ 1 CPU เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวที่เปรียบเสมือนสมอง หน้าที่หลักคือควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ประมวลผลและเปรียบเทียบข้อมูล
ส่วนที่ 2 Memory หน่วยความจำ
-ความจำหลัก
-ความจำสำรอง
1.หน่วยความจำหลัก
แบ่งได้ 2 ประเภทคือหน่วยความจำแบบ "แรม"(RAM) และหน่วยความจำแบบ "รอม" (ROM)
1.1 หน่วยความจำแบบ "แรม" (Ramdom Access Memory)
เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะข้อมูลหรือโปรแกรม
1.2หน่วยความจำแบบ "รอม" (Read Only Memory)
เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บโปรแกรม หร์อข้อมูลพื้นฐาน เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ข้อมูลที่ซีพียูอ่านข้อมูลหรือโปรแกรมไปใช้งานอย่างเดียว หน่วยความจำแบบลบเลือน(Nonvolatile Memory)
เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะข้อมูลหรือโปรแกรม
1.2หน่วยความจำแบบ "รอม" (Read Only Memory)
เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บโปรแกรม หร์อข้อมูลพื้นฐาน เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ข้อมูลที่ซีพียูอ่านข้อมูลหรือโปรแกรมไปใช้งานอย่างเดียว หน่วยความจำแบบลบเลือน(Nonvolatile Memory)
หน่วยความจำสำรอง(Secondary Memory Unit)
หน่วยความจำสำรอง หรือหน่วยเก็บข้อมูลรองเป็นหน่วยเก็บที่สามารถรักษาข้อมูลได้ตลอดไปหลังจากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว
หน่วยความจำสำรองมีหน้าที่คือ
1.ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข้อมูล
2.ใช้ในการเก็บข้อมูลโปรแกรมได้อย่างถาวร
3.ใช้เป็นสื่อในการส่งผ่านข้อมูล ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง
ประโยชน์ของหน่วยความจำรอง
หน่วยความจำสำรองจะช่วยแก้ปัญหาการสูญหายของข้อมูลอันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับ เพราะข้อมูลต่างๆที่ได้ส่งเข้ามาประมวลผล เมื่อเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ได้จะถูกนำไปเก็บในความจำหลักประเภทแรม หากปิดเครื่องหรือมีปัญหาทางไฟฟ้าอาจทำให้ข้อมูลสูญหาย จึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำสำรองเพื่อนำข้อมูลจากหน่วยความจำแรมมาเก็บไว้ใช้งานในครั้งต่อไป หน่วยความจำประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพบในรูปของสื่อที่ใช้ในการบันทึก แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถทำงานได้ปกติ
ส่วนแสดงผลข้อมูล
ส่วนแสดงผลข้อมูลคือส่วนที่แสดงข้อมูลจากสัญญาณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลาง ให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้ อุปกรณ์ที่แสดงผลข้อมูลได้แก่ จอภาพ(Moniter) เครื่องพิมพ์ (Printer) เครื่องพิมพ์ภาพ (Ploter) และลำโพง (Speaker) เป็นต้น
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (People ware)
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์หมายถึง คนที่มีความรู้ ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่นหลายคนช่วยกันรับผิดชอบโครงสร้างของงานคอมพิวเตอร์
ประเภทของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์(People ware)
1.ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
2.ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
3.ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ
บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1.หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์(EDPManager)
2.หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน(System Anlyst หรือSA)
3.โปรแกรมเมอร์(Programmer)
4.ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์(Computer Operator)
5.พนักงานจัดเตรียมข้อมูล(Data Entry Operator)
-นักวิเคราะห์ระบบงาน
ทำการศึกษาระบบงานเดิม ออกแบบระบบงานใหม่
-โปรแกรมเมอร์
นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห์ระบบออกแบบไว้มาสร้างเป็นโปรแกรม
-วิศวกรระบบ
ทำหน้าที่ออกแบบ สร้าง ซ่อมบำรุงและดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์
-พนักงานปฏิบัติการ
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจประจำวัน
อาจแบ่งได้ดังนี้
1.ผู้จัดการระบบ
2.นักวิเคราะห์ระบบ
3.โปรแกรมเมอร์
4.ผู้ใช้
ซอฟต์แวร์คือ การลำดับขั้นตอนการทำงานของคำสั่งที่จะทำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไรเป็นชุดของโปรแกรมหลายๆโปรแกรมนำมารวมกัน ให้สามารถทำงานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามต้องการ และนำมาใช้งานหรือเผยแพร่ได้ด้วยสื่อหลายชนิด
หน้าที่ของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้
ประเภทของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆคือ
1.ซอฟต์แวร์ระบบ
2.ซอฟต์แวร์ประยุกต์
3.ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ
ซอฟต์แวร์ระบบ
เป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับระบบ หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบคือ ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์เช่นรับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระ
System Softwareหรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดี คือ Dos Window Unix Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic Fortran
หน้าที่ของซอฟต์แวร์ระบบ
1.ใช้ในการจัดหน่วยรับ หน่วยส่งออกของคอมพิวเตอร์ เช่น รับรู้การกดแป้นต่างๆบนแผนแป้นอักขระ ส่งรหัสตัวอักษรออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์
2.ใช้ในการจักการหน่วยความจำ เพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลัก
3.ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น การทำสำเนาแฟ้มข้อมูลต่างๆ
ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ
1.ระบบปฏิบัติการ OS
2.ตัวแปลภาษา
ระบบปฏิบัติการหรือ OS
เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ดอส วินโดวส์ ยูนิกส์ ลีนุกส์ เป็นต้น
1.ดอส (Disk Operating System :DOS) เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว
2.วินโดวส์ (Windows) เป็นระบบปฏิบัติงานที่พัฒนามาต่อจากดอสโดยให้ผู้ใช้สั่งงานได้จากเมาส์มากขึ้น
3.ยูนิกส์(Unix) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กันเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการยูนิกส์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่ง นิยมใช้กับเครื่องที่เชื่อมโยงเครือข่าย
4.ลีนุกส์(Linux) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากระบบยูนิกส์ เป็นระบบซึ่งมีการแจกจ่ายโปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยกันพัฒนาคุณสมบัติของระบบปฏิบัติการลีนุกส์เป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน ลีนุกส์สามารถทำงานได้บน CPU หลายตระกูล เช่น อินเทล ดิจิตอล ซันสปาร์ค
5.แมคอินทอส เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอส ส่วนมากนำไปใช้งานด้านกราฟิก ออกแบบและจัดแต่งเอกสาร นิยมใช้มากในสำนักพิมพ์ต่างๆ
ชนิดของระบบปฏิบัติการสามารถแบ่งได้ 3 ชนิด
1. ประเภทใช้งานเดียว
ระบบปฏิบัติการนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น
2. ประเภทใช้ได้หลายงาน
ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงาน ในขณะเดียวกันผู้ใช้สามารถทำงานกันซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิด
3. ประเภทใช้งานหลายคน
ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล ทำให้ในขณะใดขณะหนึ่งมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคน จึงต้องมีความสามารถสูง
-ตัวแปลภาษา
การพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องอาศัยซอฟแวร์ที่ใช้ในการแปลภาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงมีหลายภาษา ภาษาระดับสูงเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจได้ ตลอดจนถึงสามารถปรับปรุง แก้ไขซอฟต์แวร์ในภายหลังได้
ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจได้
ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษาระดับสูง ได้แก่ ภาษา Basic, Pascal, C, และภาษาโลโก
1.) ภาษาปาสคาล เป็นภาษาสั่งงานคอมพิวเตอร์ ที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้างเขียนสั่งงานคอมพิวเตอร์เป็นกระบวนความ ผู้เขียนสามารถแบ่งแยกงานออกมาเป็นชิ้นเล็กๆแล้วมารวมกันเป็นโปรแกรมขนาดใหญ่ได้
2.) ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่มีรูปแบบคำสั่งไม่ยุ่งยาก สามารถเรียนรู้แล้วเข้าใจได้ง่าย มีรูปแบบคำสั่งพื้นฐานที่สามารถนำมาเขียนเรียงต่อกันเป็นโปรแกรมได้
3.) ภาษาซี เป็นภาษาที่เหมาะสมสำหรับใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์อื่นๆ ภาษาซีเป็นภาษาที่มีโครงสร้างคล่องตัวสำหรับการเขียนโปรแกรมหรือให้คอมพิวเตอร์ติดต่อกับอุปกรณ์ต่าง
4.) ภาษาโลโก เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับการเรียนรู้และเข้าใจหลักการโปรแกรม ภาษาโลโกได้รับการพัฒนาสำหรับเด็ก
นอกจากนี้ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมาก ได้แก่ Fortran , Cabal และภาษาอาร์พีจี
-ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ( Application Software)
ซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานเฉพาะเรื่องตามที่เราต้องการ เช่น
งานพิมพ์เอกสาร งานพิมพ์รายงาน วาดภาพ เล่นเกม หรือโปรแกรมระบบบัญชี รายรับรายจ่าย และเงินเดือน โปรแกรมอินเทอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์ ใช้เพื่อการสืบค้นข้อมูลและเชื่อมโยงกันระบบอินเทอร์เน็ตก็ได้ เน้นการใช้งานสะดวก
-ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์
แบ่งตามลักษณะการผลิตมี 2 ประเภทคือ
1) ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเองโดยเฉพาะ
2) ซอฟต์แวร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป
2.1) ทั้งโปรแกรมเฉพาะ
2.2) โปรแกรมมาตรฐาน
แบ่งตามกลุ่มการใช้งานมี 3 กลุ่มใหญ่ๆคือ
1) กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ (Business)
2) กลุ่มการใช้งานด้านกราฟิกและมัลติมิเดีย
3) กลุ่มการใช้งานบนเว็บ
กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ
ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ถูกใช้โดยมุ่งหวังในการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การจักพิมพ์รายงานเอกสาร นำเสนองาน และการบันทึกนัดหมายต่างๆ เช่น
-โปรแกรมประมวลคำ อาทิ Microsoft word, sun star office writer
-โปรแกรมตารางคำนวณ อาทิ Microsoft Excel, sun star office cals
-โปรแกรมนำเสนองาน อาทิ Microsoft Power Point, sun star office impress
กลุ่มการใช้งานด้านกราฟิกและมัลติมิเดีย
ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิกและมัลติมิเดีย เพื่อให้งานง่ายขึ้น เช่น ตกแต่ง วาดรูป ปรับเสียง การออกแบบเว็บไซด์ เช่น
-โปรแกรมงานออกแบบ อาทิ Microsoft risio Professional
-โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CorelDraw, Adobe Premiere, Pinnacle studio DV
-โปรแกรมตัดต่อวิดิโอและเสียง อาทิ Adobe Premiere, Pinnacle studio DV
-โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมิเดีย อาทิ Adobe Autnorware, Tool book Instructor, Adobe Director
-โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash, Adobe Dream weaver
กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
เมื่อการเจริญเติบโตของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะเพิ่มมากขึ้น เช่นโปรแกรมการตรวจเช็คอีเมลล์, การท่องเว็บไซด์การจัดการดูแลเว็บ และการส่งข้อความติดต่อสื่อสาร
ตัวอย่างโปรแกรมกลุ่มนี้ได้แก่
-โปรแกรมจัดการอีเมลล์ อาทิ Microsoft Outlook ,Mozzila Thunderbird
-โปรแกรมท่องเว็บ อาทิ Microsoft Internet ,Explorer , Mozzila Firefox
-โปรแกรมประชุมทางไกล (Video Conference)
-โปรแกรมส่งข้อความด่วน (Intent Messaging) เช่น MSN
ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์เป็นชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามต้องการ เป็นการสั่งงานตามลำดับขั้นตอนที่ผู้เขียนโปรแกรมเรียบเรียงไว้ในรูปของเลขฐานสองซึ่งใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ และเสียง
ภาษาหรือโปรแกรมที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์จึงเป็นซอฟต์แวร์สำคัญที่ทำให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องทำงานแตกต่างกันได้มากมาย เพราะคำสั่งหรือซอฟต์แวร์แต่ละโปรแกรมจะถูกออกแบบสำหรับใช้กับแต่ละงานแตกต่างกัน เช่น โปรแกรมสำหรับจัดทำเอกสาร โปรแกรมสำหรับจัดทำบัญชี โปรแกรมสำหรับจัดทำสื่อการเสนอ โปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งภาพนิ่ง โปรแกรมเกี่ยวกับการตัดต่อภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งบางโปรแกรมสามารถประยุกต์ใช้งานดีอีกหลายด้านตามความสามารถของผู้เขียนและผู้ใช้โปรแกรมนั้นๆ
การใช้ภาษาเครื่องนี้ ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยคข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง
ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
การทำงานที่ถูกต้องนั้น จำเป็นต้องมีสื่อกลาง ถ้าเปรียบกับชีวิตประจำวันแล้ว เรามีภาษาที่ใช้ติดต่อซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์ต้องการจะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้และปฏิบัติตาม จะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อ เพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้ เราเรียกสื่อกลางนี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
-ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วย
-ภาษาเครื่อง (Machine Languages)
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้าที่แทนค่าด้วยตัวเลข 0 และ1 โดยผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถแปลผลอย่างเป็นเหตุเป็นผลเชิงตรรกะได้อย่างถูกต้อง เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งสำหรับคอมพิวเตอร์ว่า ภาษาเครื่อง
-ภาษาแอสแซมบลี (Assemble Languages)
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 ถัดจาดภาษาเครื่อง ภาษานี้ช่วยลดความยุ่งยากในการเขียนโปรแกรม
-ภาษาระดับสูง (High – Level Languages)
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า Statements ที่มีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเข้าใจชุดคำสั่ง เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานง่ายขึ้น โปรแกรมที่ใช้แปลภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง เรียกว่า คอมไพเลอร์(Compiler) และอินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter)
คอมไพเลอร์(Compiler)
จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อนแล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter)
จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป
ข้อแตกต่างระหว่างเรียกว่า คอมไพเลอร์(Compiler) และอินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter) จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง ตัวแปลภาษาที่รู้จักกันดี เช่น ตัวแปลภาษาเบสิก ตัวแปลภาษาโคบอล
ระบบสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
-การทำงานของระบบ Network และ Internet
โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network: LAN)
เป็นเครือข่ายที่มักพบเห็นกันในองค์กรโดยส่วนใหญ่ลักษณะของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นวง LAN จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆกัน เช่น ภายในอาคาร
2.เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network: MAN)
เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงใหญ่ขึ้น ภายในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ในเมืองเดียวกัน
3.เครือข่ายในบริเวณกว้าง (Wide Area Network: WAN)
เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นอีกระดับโดยเป็นการรวม LAN และ MAN เข้าด้วยกันมาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเดียว ดังนั้นเครือข่ายนี้จะครอบคลุมพื้นที่กว้าง โดยมีการควบคุมไปทั่วประเทศหรือทั่วโลก เช่น อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
-รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology)
การจัดระบบการทำงานของเครือข่าย มีรูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย อันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์ และการเดินสายสัญญาณคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย รวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่ายด้วย โดยแบ่งโครงสร้างของเครือข่ายหลักได้ 4 แบบคือ
-เครือข่ายดาว
-เครือข่ายวงแหวน
-เครือข่ายบัส
-เครือข่ายต้นไม้
1. แบบดาว เป็นการต่อสายเชื่อมโยงโดยการนำสถานีต่างๆมาต่อรวมกันกับหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้โดยการติดต่อผ่านวงจรของหน่วยสลับสายกลาง
ลักษณะการทำงาน จะมีสถานีกลางหรือ ฮับ เป็นจุดผ่านการติดต่อระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย สถานีกลางจึงมีหน้าที่ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง คอยจัดส่งข้อมูลให้กับโหนดปลายทางอีกด้วย การสื่อสารภายในของเครือข่ายดาว จะเป็นแบบ 2 ทิศทาง โดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้น ที่ สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ เพื่อป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครือข่ายดาวเป็นเครือข่ายหนึ่งที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
2.แบบวงแหวน เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครื่องขยายสัญญาณของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน หากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด เครื่องขยายสัญญาณของสถานีนั้นก็รับและส่งให้กับสถานีนั้น เครื่องขยายสัญญาณจึงต้องมีการตรวจสอบข้อมูลตามนั้น
3.แบบบัส เป็นเครือข่ายที่เชื่อมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยสายเคเบิลยาวต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยจะมีอุปกรณ์ที่เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิล ในการส่งข้อมูลจะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียว เท่านั้น ที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ การส่งข้อมูลจะต้องมีวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งพร้อมกัน เพราะจะทำให้ชนกัน การติดตั้งเครือข่ายนี้ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จะใช้สายเคเบิลเพียงเส้นเดียวเท่านั้น
ลักษณะการทำงาน อุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนดในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสายหลัก ที่เรียกว่า “Bus” (บัส) เพราะสายสื่อสารหลักที่เรียกว่าบัสมีสายเดียว
4.แบบต้นไม้ เป็นเครือข่ายที่มีการผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานี การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลาง ไปยังสถานีอื่นๆได้ทั้งหมด
-การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รูปแบบการใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
แบ่งตามลักษณะการทำงานได้เป็น 3 ประเภท คือ
1.ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง
2.ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to Peer
3.ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server
1.ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง เป็นระบบที่มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผล ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางและมีการเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอร์มินอลที่อยู่รอบๆ ใช้สายเคเบิลเชื่อมต่อกันโดยตรง โดยคำสั่งต่างๆมาประมวลที่เครื่องกลาง
2.ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to Peer แต่ละสถานีงานของระบบเครือข่าย Peer-to Peer จะมีความเท่าเทียมกัน สามารถที่จะแบ่งปันทรัพยากรให้กันได้ เช่น ใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกัน ใช้ข้อมูลร่วมกันบนเครือข่ายได้
3.ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server สามารถสนับสนุนให้มีเครื่องลูกข่ายได้เป็นจำนวนมาก และสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้หลายสถานี ทำงานโดยมีเครื่อง Server ที่ให้บริการเป็นศูนย์กลางอย่างน้อย 1 เครื่อง นอกจากนี้เครื่องลูกข่ายยังจะต้องมีความสามารถในการประมวลผล
ระบบนี้ เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง สนับสนุนการทำงานแบบ Multiprocessor สามารถเพิ่มขยายผู้ใช้ได้ตามต้องการ